เทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร ผู้ปกครองดินแดนแห่งท้องน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง จนถึงใต้บาดาล มีสามง่ามเป็นอาวุธ บางตำนานกล่าวว่ามีท่อนล่างเป็นปลา นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว และเป็นเทพแห่งม้าด้วย
ตามตำนานเล่าว่า โพเซดอนเป็นบุตรของโครโนส กับ เร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 4 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพแห่งโอลิมปัสทั้งสิ้น ได้แก่
- ซูส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส
- ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก
- เฮรา ชายาแห่งเทพซูส
- เฮสเตีย เทพีแห่งเตาผิง
ภาพลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโลด้วยเช่นกัน
โพเซดอนมีมเหสีองค์หนึ่ง ที่เป็นหญิงรับใช้ของอะธีนา คือ เมดูซ่า ก่อนที่จะถูกสาบให้มีผมเป็นงู เพราะหลงใหลในความงามของเมดูซ่า (บางตำราบอกว่า เมดูซ่า หลงไหลโพไซดอนก่อน และโพไซดอน แปลงเป็นม้ามาร่วมรักกับเมดูซ่า) เมื่ออะธีนาทราบเรื่องจึงสาบเมดูซ่าให้เป็นปีศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อเปอร์ซิอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว (เนื่องจากโพไซดอน แปลงกายเป็นม้ามาร่วมรักกับเมดูซ่า) คือ เพกาซัส (Pegasus) และ คริสซาออร์ (Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออร์เป็นลูกของโพเซดอนด้วย
โพเซดอน มีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล
โพเซดอน มีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล
โพไซดอน เทพเจ้าแห่งทะเลเป็นเทพเจ้าที่หงุดหงิด โมโหง่าย และอารมณ์รุนแรง ดวงเนตรสีฟ้าดุดันมองผ่านทะลุม่านหมอกได้ และเกศาสีน้ำทะเลสยายลงมาเบื้องหลัง เธอได้รับสมญา ว่า “ผู้เขย่าโลก” เพราะเมื่อปักตรีศูลลงบนพื้นดิน โลกพลันสั่นสะเทือน และแยกออกจากกัน เมื่อฟาดตรีศูลลงบนทะเล บังเกิดคลื่นลูกใหญ่เท่าภูเขา และเกิดพายุมีเสียงครึกโครมน่ากลัว ทำเรือแตกและผู้คนที่อาศัยอยู่ชายทะเลจมน้ำตาย แต่เมื่อยามโพไซดอนอารมณ์ดี ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไป ทำให้ทะเลสงบและทรงยกแผ่นดินใหม่ขึ้นจากน้ำ
ในสมัยที่โครนัสและเทพไททันเป็นใหญ่อยู่นั้น เนรูส เป็นผู้ครอบครองทะเล เนรูสเป็นโอรสของแม่พระธรณีกับพอนทัส หรือทะเล ซึ่งเป็นสวามีองค์ที่สอง เนรูสเป็นเทพเจ้าผู้ชราแห่งทะเล มีหนวดสีเทายาว มีหางเป็นปลา และมีธิดาเป็นนางพรายน้ำห้าสิบนาง คือ เนรีด ผู้น่ารัก เมื่อโพไซดอน เทพเจ้าแห่งโอลิมปัสได้รับมอบหมายให้มาเป็นเจ้าแห่งทะเลแทน เนรูส ผู้ชราที่มีน้ำพระทัยดีก็ทรงยกธิดานามว่า อัมฟิไทรต์ ให้เป็นมเหสีของโพไซดอน แล้วเธอ(เนรุส) เองก็ปลีกตัวไปประทับอย่างสงบในถ้ำใต้บาดาล เนรูสทรงยกปราสาทใต้ทะเลให้แก่พระราชาและพระราชินีองค์ใหม่ด้วย ปราสาทองค์นี้ทำด้วยทองคำตั้งอยู่ในสวนหินปะการังและไข่มุก อัมฟิไทรต์ประทับที่ปราสาทนี้อย่างมีความสุข ห้อมล้อมด้วยนางพรายน้ำพี่น้องอีกสี่สิบเก้านาง นางมีโอรสองค์เดียว นามว่า ไทรทัน ซึ่งมีหางเป็นหางปลาเหมือน เนรูสผู้เป็นอัยกา ทรงขี่หลังสัตว์ทะเลและทรงเป่าสังข์ท่องเที่ยวไปในทะเล
โพไซดอนไม่ค่อยประทับอยู่ที่ปราสาท ไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ ทรงโปรดขับรถเทียมม้าสีขาวเหมือนหิมะแข่งกับลูกคลื่น กล่าวกันว่าเธอเนรมิตม้าในรูปของคลื่นที่แตกกระจาย โพไซดอนทรงมีชายาและโอรสธิดามากมาย เหมือนซูสอนุชา แต่อัมฟิไทรต์ไม่ทรงหึงหวงเหมือนเฮรา
มีเกาะหนึ่งที่โพไซดอนทรงยกขึ้นมาสูงกว่าระดับน้ำทะเลชื่อว่า เกาะดีลอส เกาะนี้เพิ่งสร้างขึ้นจึงยังคงลอยไปมาอยู่ในน้ำ เกาะเล็ก ๆ นี้พื้นดินยังไม่อุดมสมบูรณ์ ยังไม่มีพืชพรรณอื่นใดนอกจากต้นปาล์มต้นเดียวเท่านั้น ในร่มเงาของต้นปาล์มนี้ เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สององค์ คือ อะพอลโล กับ อาร์ทีมิส ได้ถือกำเนิดขึ้นมา
ซูสได้อภิเษกกับเทพธิดา ลีโท พอเฮราทรงทราบว่าลีโททรงครรภ์แฝด ก็ทรงกริ้วมาก และรับสั่งห้ามมิให้พื้นดินทุกแห่งในโลกให้ที่พำนักแก่นาง ลีโทจึงต้องซัดเซพเนจรไปเรื่อยไป ไม่สามารถหาที่พำนักเพื่อประทานกำเนิดแก่เทพเจ้าแฝดได้
ในที่สุดนางก็มาถึงเกาะดีลอส เกาะน้อยนี้ให้การต้อนรับนาง เนื่องด้วยเกาะนี้ยังลอยอยู่ ยังไม่ได้เป็นแผ่นดิน จึงมีลักษณะไม่ตรงกับที่เฮราทรงรับสั่งไว้ ลีโททรุดกายลงใต้ร่มต้นปาล์มอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ยังประสูติไม่ได้ เนื่องจากเฮรารับสั่งห้ามเทพธิดา อิลิเทียอา.. เทพีแห่งเด็กเกิดใหม่ไม่ให้ช่วยเหลือ ถ้านางไม่ช่วยเด็กจะคลอดไม่ได้ เทพธิดาอื่น ๆ ทรงสงสารลีโท จึงพยายามอ้อนวอนให้พระทัยของเฮราอ่อนลง โดยถวายสร้อยพระศอเส้นงามแก่นาง สร้อยเส้นนี้ยาวเก้าหลา ทำด้วยทองคำและอำพัน ในที่สุดเฮราก็ทรงยอมปล่อยอิลิเทียอาไป แล้วเทพธิดาไอริสทรงนำอิลิเทียอาลงมาหาลีโททางสายรุ้ง
ฝาแฝดพี่องค์แรกของลีโท คือ อาร์ทีมิส เป็นเทพธิดาแสนสวยดุจดวงจันทร์ เส้นเกศาสีดำเหมือนรัตติกาล นางได้เป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์และสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่ ฝาแฝดองค์รองคือ อะพอลโล ซึ่งเป็นเทพบุตรที่สง่างามราวดวงอาทิตย์ เธอได้เป็นเทพเจ้าแห่งดนตรี แสงสว่างและเหตุผล
ซูสดีพระทัยที่เห็นคู่แฝดสวยงามทั้งคู่ ท่านได้ประทานธนูเงินและลูกธนูเต็มกระบอกให้คนละชุด ลูกธนูของอาร์ทีมิสอ่อนนุ่มเหมือนแสงจันทร์ และผู้ถูกลูกธนูนี้จะตายโดยไม่เจ็บปวดเลย ส่วนลูกธนูของอะพอลโลแข็งและแหลมคมเหมือนแสงอาทิตย์
ซูสประทานพรแก่เกาะนี้และยังผูกติดไว้กับก้นทะเลด้วย หญ้าและไม้ดอกเจริญงอกงามขึ้นจากพื้นดินที่แห้งแล้ง แต่นั้นมา ดีลอสกลายเป็นเกาะที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในบรรดาเกาะของประเทศกรีซ ผู้จาริกแสวงบุญต่างพากันมาที่เกาะนี้ และสร้างเทสาลัยและสมบัติไว้มากมายเพื่อเทิดทูนลีโอและโอรสธิดาคู่แฝดของนาง ในสมัยโบราณ ที่แหลมสุนิอ้อน ห่างจากกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซไม่มาก มีวิหารที่สร้างถวายแด่โพเซดอนอยู่
อำนาจของโปเซดอนซึ่งปกครองดูแลน่านน้ำทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็น ทะเลลึก ทะเลสาบ แม่น้ำ ลำธาร ละหานห้วย หรือแม้แต่เทพและนางอัปสรประจำน่านน้ำทั้งปวง ยังมีประสาทงดงามตระการตาอยู่ใต้ท้องทะเล เอเยี่ยน นอกจากที่ประทับสวรรค์ชั้นโอลิมปัสแล้ว ดังจะเห็นว่านอกจากซูสเทพบดีแล้ว ไม่มีเทพองค์ใดที่มีอำนาจเกรียง ไกรไปกว่าท้าวเธอเลยที่เห็นก็มีเพียง ฮาเดส เทพครองนรก จ้าวแดนบาดาล ซึ่งทำให้ท้าวเธอถึงกับเคยคิดครองความ เป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวโดยร่วมมือกับเทวีฮีร่าและเทวีเอเธน่าพยายามโค่นเทพปริณายกซูสแต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซูสลง ทัณฑ์เนรเทศโปเซดอนให้มาทำงานตรากตรำลำบากบนโลกมนุษย์ในเมืองทรอยโดยต้องสร้างกำแพงกรุง ทรอยให้ท้าว เลือมมิดอน (Laomedon) กษัตริย์ในขณะนั้น
โพไซดอนคือเทวะที่ครอบครองผืนน้ำทุกถิ่นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นทะเล มหาสมุทร ทะเลสาบ หนอง บึง หรือแม่น้ำ ลำคลอง เป็นนายของทุกชีวิตที่แหวกว่ายระเริงชลภายใต้น้ำ รวมทั้งนายตัวที่อยู่บริเวณผิวน้ำด้วยล่ะ แต่กว่าจะได้ตำแหน่งอันมโหฬารพันลึก เป็นใหญ่ในน่านน้ำอย่างนี้ได้ก็ต้องฝ่าฟันศึกใหญ่กันหืดขึ้นคอมาแล้ว เรื่องพี่น้องชิงบัลลังก์ เมื่อก่อนผืนน้ำทั้งหมดเนี่ยเป็นของเทพฝ่ายไททั่น ชื่อโอเชียนุส (Oceanus) ซึ่งก็เป็นผู้สร้างท้องทะเลขึ้นมากับมือ แต่หลังจากที่เทพกลุ่ม อันได้แก่ ซุส โปไซดอน และเฮเดส จับมือกัน ร่วมกันวางแผนเคลียร์ผู้ครองบัลลังก์คนเก่าๆทิ้งไปสำเร็จ โปไซดอน ก็ได้ส่วนแบ่งเป็นอาณาเขตผืนน้ำมาครอง ในขณะที่ ซุส จับจองสวรรค์และ เฮเดสก็ได้ครองยมโลก
ส่วนแบ่งทีมีขนาดมโหฬารพันลึกนี่เองที่ทำให้เทพโปไซดอนกำชะตาของโลกไว้ในอุ้งมือ เพราะทุกสิ่งในโลกมีน้ำเป็นพื้นฐานการดำรงอยู่ ความรู้สึกเช่นนี้ก่อให้ความลำพองใจแกมหาเทพเอามากๆ จนเหมาเอาว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกย่อมต้องเป็นของพระองค์ทั้งหมดเนื่องเพราะต้องอาศัยน้ำของพระองค์ จึงเมื่อพอใจจะประทานแก่ใครก็ให้แต่ผู้นั้น ส่วนคนที่พระองค์ไม่โปรดก็ต้องอดไปตามระเบียบ ความเดือดร้อนของชาวโลกที่เกิดเพราะนิสัยขี้โอ่อันนี้แหละ เลยทำให้บรรดามนุษย์ สัตว์ และภูตพรายต่างๆ พากันเข้าเฝ้าร้องเรียนต่อมหาเทพซูสผู้พี่ให้กำราบเอาบ้าง แต่โปไซดอนนะหรือจะยอม นอกจากจะไม่ฟังแล้วยังบันดาลให้น้ำท่วมเอาเสียบ้าง ให้น้ำแล้งเอาชีวิตเสียบ้าง เป็นการกลั่นแกล้งให้มนุษย์กลัวพระองค์
ผลการที่พระองค์ต้องการกลั่นแกล้งมนุษย์ โดบันดาลให้ผืนดินแห้งแล้ง ภายหลังกลับกลายเป็นหนามแหลมทิ่มแทงองค์เอง ผืนดินที่แตกระแหงไปแล้วไม่สามารถทำให้ชุ่มฉ่ำขึ้นมาได้อีกด้วยบางแห่งถึงกับกลายเป้นทรายไปเลย ยิ่งเห็นพื้นดินแห้งแล้งมากเท่าไรยิ่งทำให้โปไซดอนหัวเสียมากเท่านั้น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเริ่มรบกวนจิตใจของเทพเจ้า จนไม่ช้าก็ไม่อาจทนเห็นได้อีกต่อไป พระองค์จึงกลับลงไปใต้ท้องทะเลซึ่งปราสาททองคำของพระองค์ตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น มันเป็นที่เดียวเท่านั้นที่จะช่วยรักษาเยียวยาความรู้สึกผิดให้บรรเทาลง กระนั้นโปไซดอนก็ใช่ว่าจะทองะระไปเสียหมด หลายครั้งที่ท้าวเธอออกมาจากพระราชวังใต้ท้องสมุทร ทรงราชรถเทียมอสุรกายประเภทต่างๆ ขึ้นมาสำรวจโลกเหมือนกัน คราใดที่รถทรงของพระองค์ลอยฟ่องอยู่เหนือผิวน้ำยามนั้น เกลียวคลื่นจะแหวกเป็นทางพร้อมๆ กับลมพายุจะโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เรือใหญ่น้อยที่อยู่ในบริเวณนั้นจุถูกกลืนลงใต้น้ำในชั่วพริบตา น้ำทะเลที่ล้นเป็นระลอกก็จะกวาดชายฝั่งจนบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่ไม่มีอะไรเหลือ ยิ่งเห็นทะเลคลั่งมากเท่าไรดูเหมือนโปไซดอนจะยิ่งนึกสนุก พระองค์จะยิ่งพุ่งสามง่ามขึ้นไปบนท้องฟ้า บังเกิดเป็นสายฟ้าจากกลุ่มเมฆดำ และสายฝนจะยิ่งเทกระหน่ำลงมาท่วมบ้านเรือนได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า กว่ามหาเทพจะเล่นสนุกสะใจ มนุษย์ ก็ย่ำแย่ไปตามๆ กัน จากนั้นท้าวเธอก็จะเสด็จกลับไปสู่ใต้พื้นมหาสมุทรไม่ยอมปล่อยความชุ่มชื้นมาสู่ผิวโลกอีกเป็นเวลาเท่าที่จะพอใจ
เทพของฝรั่ง อาจต่างไปจากเทพที่เรารู้จักตามตำนานไทยหรืออินเดีย ที่มักรู้จักกันแต่ในด้านที่ดีงาม เทพฝรั่งจะมีอำนาจมาก และเต็มไปด้วยพฤติกรรมที่คล้ายมนุษย์หลายอย่างที่บางอย่างก็ไม่น่าเข้าใจ เราฟังมาและเลือกแต่เรื่องดีๆ มาใช้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม เทพเหล่านี้ ก็เป็นที่เคารพบูชาของชาวฝรั่งอยู่ และเป็นแบบอย่างหลายเรื่อง รวมทั้งเป็นแรงบันดานใจ ในการทำความดีหลายเรื่องด้วย